บันเทิงคดี (Ficttion) หมายถึง เรื่องสมมติที่สร้างขึ้นมาอย่างมีจินตนาการและอารมณ์ มุ่งให้ความเพลิดเพลินเป็นใหญ่ แต่ก็ให้ความรู้ด้วย มีหลายรูปแบบ เช่น เรื่องสั้น นวนิยาย บทละคร ฯลฯ บันเทิงคดีจึงเป็นงานเขียนที่ผู้เขียนมีเจตนานให้ผู้อ่านได้รับความเพลิดเพลินจากการอ่านโดยมีเกร็ดความรู้ ข้อคิด คติธรรม และประสบการณ์ชีวิตแทรกอยู่ในเรื่องนั้น ๆ
การเขียนบันเทิงคดีนั้น ผู้เขียนจะต้องมีจินตนาการ มีความสามารถคิดเรื่องที่สนุกน่าสนใจ มีศิลปะในการใช้ภาษา มีประสบการณ์ มีความเข้าใจชีวิต มีความรู้รอบตัวในศาสตร์ต่างๆ อย่างดี จึงจะเขียนบันเทิงคดีได้น่าอ่านและมีสารประโยชน์
องค์ประกอบของบันเทิงคดี
บันเทิงคดีมีองค์ประกอบที่สำคัญ ๖ ประการ คือ
๑. สารัตถะของเรื่อง (Theme)
๒. โครงเรื่อง (Plot)
๓. ตัวละคร (Character)
๔. บทสนทนา (Dialoque)
๕. ฉาก (Setting)
๖. บรรยากาศ (Atmosphere)
๑. สารัตถะของเรื่อง (Theme) หรือเรียกว่า "แก่นเรื่อง" หรือ "แนวคิดของเรื่อง" หมายถึง ความคิดสำคัญของเรื่อง หรือเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอแก่ผู้อ่าน
๒. โครงเรื่อง (Plot) คือ เหตุการณ์ที่จัดเรียงลำดับและเป็นเหตุเป็นผลกัน เหตุการณ์หนึ่งเป็นผลให้เกิดเหตุการณ์หนึ่ง หรือหลายๆ เหตุการณ์สืบตามมา โครงเรื่องที่ดีจะต้องเกิดจากความขัดแย้ง
การเขียนโครงเรื่องนั้น หากเรื่องใดไม่เกิดความขัดแย้ง เหตุการณ์ต่าง ๆ ราบรื่นไปหมด เรื่องนั้นก็เป็นเพียงเรื่องเล่าจืดชืดไม่น่าสนใจ ความขัดแย้งจึงเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดเรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ การเขียนเรื่องโดยทั่วไปมีวิธีการดังนี้
๒.๑ การเปิดเรื่อง (The Opening) คือ การเริ่มเรื่อง เหมือนกับส่วนนำเรื่องในการเขียนสาระคดี เป็นส่วนที่กระตุ้นจูงใจ สร้างความสนใจให้ผู้อ่าน การเปิดเรื่องโดยทั่วไป มีวิธีการดังนี้
๒.๑.๑ เปิดเรื่องโดยการบรรยายฉาก
๒.๑.๒ เปิดเรื่องโดยการบรรยายตัวอักษร
๒.๑.๓ เปิดเรื่องโดยการบรรยายเหตุการณ์
๒.๑.๔ เปิดเรื่องโดยการใช้บทสนทนา
๒.๑.๕ เปิดเรื่องโดยการใช้ตัวละครเล่าเรื่อง
๒.๒ การผูกปม (Complication) คือ การสร้างข้อขัดแย้งให้เกิดขึ้นกับตัวละครหรือเหตุการณ์ในเรื่อง เป็นการนำปัญหาหรืออุปสรรคมาเสนอ เพื่อให้ตัวละครได้แสดงปฏิกิริยาต่อปัญหา และหาทางออก การผูกปมหรือขัดแย้งจะต้องมีความน่าสนใจสมเหตุสมผล ท้าทายความรู้สึกอารมณ์ของผู้อ่าน
๒.๓ การหน่วงเรื่อง (Suspense) คือ การดำเนินเรื่องโดยให้ตัวละครแสดงพฤติกรรมต่างๆ ในการแก้ปัญหาหรือต่อสู้กับอุปสรรค พฤติกรรมของตัวละครควรจะมีความเข้มข้นโดยลำดับ เพื่อนำไปสู่สุดยอดของเรื่อง ถ้าผู้เขียนเสนอเหตุการณ์หรือพฤติกรรมของตัวละครไปเรื่อยๆ โดยขาดความเข้มข้นตามลำดับเหตุการณ์ ถือว่าเป็นการหน่วงเรื่องที่น่าเบื่อ ไม่มีความกระชับในการดำเนินเรื่อง
๒.๔ จุดสุดยอด (Climax) คือ จุดที่เข้มข้นที่สุดของเหตุการณ์ หรือเป็นเงื่อนงำของเนื้อเรื่อง เป็นยอดที่สุดของอารมณ์และความสนใจ จุดสุดยอดที่ดีจะต้องสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับผู้อ่าน
๒.๕ การคลายปม (Denovement) คือ การขยายความลับหรือคลี่คลายปัญหาของเรื่อง ให้ผู้อ่านเข้าใจเหตุการณ์หรือปมปัญหาต่างๆ การคลี่คลายปมปัญหาจะต้องมีความสมเหตุผล ตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง แสดงความคิดที่แยบยล มิใช่คลี่คลายปมแบบตื้นเขิน หรือขาดเหตุผล
๒.๖ การปิดเรื่อง (Close หรือ Conclusion) คือ การจบเรื่องเหมือนส่วนสรุปของการเขียนสารคดี การปิดเรื่องที่ดีมีศิลปะจะต้องสร้างความประทับใจให้แก่ผู้อ่าน ซึ่งการปิดเรื่องโดยทั่ว ๆ ไป มีดังนี้
๒.๖.๑ การปิดเรื่องแบบธรรมดา
๒.๖.๒ ปิดเรื่องแบบหักมุม
๒.๖.๓ ปิดเรื่องแบบทิ้งปัญหาให้ผู้อ่านขบคิด
๓. ตัวละคร (Character) คือ ตัวบุคคล สัตว์หรือสิ่งต่าง ๆ ที่ผู้เขียนสร้างขึ้นให้มีบทบาทมีชีวิต มีวิญญาณ แสดงพฤติกรรมต่างๆ เพื่อให้เหตุการณ์ดำเนินไป ตามเรื่องราวที่วางไว้ ซึ่งผู้เขียนควรคำนึงถึงตัวละครในสิ่งใดต่อไปนี้
๓.๑ ประเภทของตัวละคร ซึ่งแบ่งออกตามบทบาทความสำคัญในการดำเนินเรื่องได้ ๒ ประเภท คือ
๓.๑.๑ ตัวเอกของเรื่อง (Main Character) คือ ตัวละครที่มีบทบาทสำคัญในการดำเนินเรื่อง เป็นศูนย์กลางของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่อง ตัวละครเอกอาจเป็นคน สัตว์เทพเจ้า ภูตผีปีศาจ หรือ สิ่งสมมติใด ๆ ก็ได้ เพศหรือวัยใดก็ได้ มีอุปนิสัยดีหรือไม่ดีก็ได้ สิ่งที่สำคัญก็คือ ต้องเป็นตัวดำเนินเรื่อง
๓.๑.๒ ตัวประกอบ (Minor Character) คือ ตัวละครที่มีบทบาทรองลงไปจากตัวเอกของเรื่อง เป็นตัวละครที่ช่วยให้การดำเนินเรื่องของตัวเอก ดำเนินไปอย่างเหมาะสมตามเหตุการณ์ในเรื่อง
๓.๒ ลักษณะนิสัยของตัวละคร โดยทั่วไปมี ๒ ลักษณะ คือ
๓.๒.๑ ตัวละครที่เป็นแบบตายตัว (Typed Character) คือ ตัวละครที่มีลักษณะปรากฏเด่นชัดเพียงด้านเดียว แสดงนิสัยเพียงแง่มุมเดียว ดีอย่างเดียว หรือร้ายอย่างเดียว เป็นการสร้างตัวละครอย่างง่ายๆ ซึ่งผู้อ่านมักคาดเดาการกระทำของตัวละคร และเหตุการณ์ของเรื่องได้ง่าย
๓.๒.๒ ตัวละครที่มีลักษณะซับซ้อน (Wellrounded Charater) คือ ตัวละครที่มีลักษณะซับซ้อน เข้าใจยาก สร้างได้ยากกว่าตัวละครแบบตายตัว มีลักษณะสมจริงเหมือนคนในชีวิตจริง ซึ่งมีทั้งส่วนดี และส่วนบกพร่อง ต้องติดตามศึกษาโดยละเอียด จึงสามารถเข้าใจได้ ตัวละครประเภทนี้มักมีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนานิสัยใจคอ ตลอดจนทัศนคติได้เมื่อมีเหตุการณ์ต่างๆ มากระทบ ในตอนต้นเรื่องอาจเป็นคนดี ต่อมาอาจกลายเป็นคนเลว เพราะมีปัจจัยเหตุปัจจัยบางอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ตัวละครแบบนี้จะทำให้เรื่องน่าสนใจ มีคุณค่าและชวนติดตาม
๓.๓ การตั้งชื่อตัวละคร ควรตั้งให้เหมาะสมกับเพศ วัย สถานะ บทบาท และหน้าที่ของตัวละครในเรื่อง ตัวละครที่เป็นตัวเอก ควรตั้งชื่อที่ฟังง่าย คมคาย น่าสนใจ ตัวละครที่เป็นชาวบ้านใช้ชื่อว่า ลุงวิษณุ พ่อเฒ่าศรุต หรือคุณยายพวงแข ก็ฟังดูขัดแย้งไม่เหมาะกับตัวละคร
๓.๔ การกำหนดบุคลิกของตัวละคร ต้องให้สอดคล้องกับเพศ วัย สถานะ บทบาท และหน้าที่ของตัวละคร และสอดคล้องกับการดำเนินเรื่อง เช่น สร้างให้ตัวเอกรูปร่างหน้าตาดี มีความคิด มีความกล้าหาญ สร้างให้ตัวประกอบที่เป็นคนจนรูปร่างผอม ซูบซีด ขี้โรค ซื่อ มักขลาดเขลา แต่ถ้าสร้างให้ตัวเอกมีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ ทะลึ่ง หลุกหลิก และขี้ขลาด หรือคนจนรูปร่างอ้วนท้วม ผิวผ่อง พูดจาฉะฉาน ก็ไม่เหมาะสมกับเหตุผลและข้อเท็จจริง
๔. บทสนทนา (Dialoque) คือ คำพูดของตัวละครแต่ละตัว บทสนทนานับเป็นองค์ประกอบสำคัญของเรื่องบันเทิงคดีได้ประการหนึ่ง เพราะช่วยให้ผู้อ่านได้ทราบถึง แนวคิดของผู้แต่ง ทราบถึงบุคลิกลักษณะของตัวละคร ข้อขัดแย้งระหว่างตัวละคร ภูมิหลังและรายละเอียดต่างๆ ได้ โดยที่ผู้แต่งไม่ต้องบรรยาย หรือพรรณนาความให้ยืดยาว นอกจากนี้ยังทำให้ผู้อ่านได้รับความเพลิดเพลินไปพร้อมกันด้วย
บทสนทนาที่ดีควรมีลักษณะดังนี้
๔.๑ มีความสมจริง คือ สมจริงตามเพศ วัย อาชีพ สถานะ บทบาท และหน้าที่ของตัวละคร ถ้าตัวละครเป็นผู้ดี มีการศึกษาก็ควรใช้ภาษาที่สุภาพ ตัวละครที่เป็นชาวบ้านมีการศึกษาน้อย อยู่ในสถานะและสังคมที่ไม่ดีก็ใช้ภาษาที่เป็นภาษาตลาดได้ตามความเหมาะสม
๔.๒ ช่วยดำเนินเรื่อง คือ บทสนทนาของตัวละครจะช่วยให้ผู้อ่านรู้ว่าตัวละครจะทำอะไร และเหตุการณ์ดำเนินไปอย่างไร โดยไม่ต้องบอกด้วยการบรรยายตรงๆ ในฉาก ช่วยให้การดำเนินเรื่องกระชับไม่ยืดยาด เป็นวิธีการดำเนินเรื่องที่แนบเนียน ไม่สร้างความเบื่อหน่ายให้กับผู้อ่าน
๔.๓ ช่วยบอกลักษณะนิสัยของตัวละคร ด้วยการสอดแทรกลักษณะนิสัยของตัวละครลงไปในบทสนทนา ช่วยให้เรื่องกระชับโดยไม่ต้องบรรยายลักษณะตัวละครตรงๆ
๔.๔ มีจุดมุ่งหมายและสารประโยชน์ บทสนทนาแต่ละวรรคแต่ละตอน ต้องมีจุดมุ่งหมายว่า ให้ตัวละครสนทนาในเรื่องใด เพื่ออะไร มีเนื้อหาที่เป็นสารประโยชน์สะท้อนความคิดของผู้เขียน หรือความคิดของเรื่อง โดยอาศัยตัวละครเป็นผู้พูด อย่าสร้างบทสนทนาโดยเด็ดขาด จุดมุ่งหมายและสารประโยชน์ เพราะจะทำให้เรื่องน่าเบื่อ
๔.๕ บทสนทนาต้องอยู่ในเครื่องหมายคำพูด และมีคำอธิบายประกอบบทสนทนาตามสมควร คำบรรยายประกอบบทสนทนา ควรมีคุณค่าในการเสริมบรรยากาศของการสนทนานั้นๆ ช่วยในการเน้นบุคลิกลักษณะของตัวละคร หรือช่วยในการดำเนินเรื่อง ไม่ควรเขียนคำบรรยายตื้นๆ ซึ่งรู้ได้เข้าใจดีอยู่แล้ว การเขียนคำบรรยายประกอบการสนทนานั้น ควรเขียนให้พอเหมาะ ไม่จำเป็นต้องเขียนบรรยายทุกถ้อยคำ ที่ตัวละครพูด ควรเปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้ใช้จินตนาการบ้างตามสมควร
๕. ฉาก (Setting) คือ การบรรยายภาพสถานที่ เวลา และสภาพแวดล้อมที่ปรากฏในเหตุการณ์ของเรื่อง เป็นการสร้างอารมณ์จินตนาการให้กับผู้อ่าน ช่วยให้ผู้อ่านเพลิดเพลิน มีอารมณ์ร่วมกบตัวละคร และคาดเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องได้
การบรรยายฉาก ต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริง มีความถูกต้องสมจริง มีความสัมพันธ์กับเหตุการณ์ มีความแจ่มชัดเป็นระเบียบ ไม่สับสน ใช้ภาษาประณีตด้วยภาพพจน์และโวหารต่าง ๆ อย่างเหมาะสม โดยทั่วไปมักนิยมใช้พรรณนาโวหาร
๖. บรรยากาศ (Atmosphere) คือ การบรรยายอารมณ์ความรู้สึก องค์ประกอบต่างๆ ของฉากและตัวละคร เพื่อสร้างอารมณ์ความรู้สึกแก่ผู้อ่าน
ประเภทของการเขียนบันเทิง
การเขียนบันเทิง
นิทาน คือ เรื่องเล่าสืบต่อกันมา เป็นวรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุด กล่าวกันว่านิทานมีกำเนิดพร้อม ๆ กับครอบครัวของมนุษยชาติ มูลเหตุที่มาแต่เริ่มแรก คงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงแล้วเล่าสู่กันฟัง มีการเพิ่มเติมเสริมแต่งให้พิสดารมากยิ่งขึ้น จนห่างไกลจากเรื่องจริง กลายเป็นนิทานไป
การเขียนนิทาน เป็นการเขียนจากจินตนาการ ผู้เขียนจะต้องมีศิลปะในการเขียน โดยเขียนให้สนุกและมีคุณค่าแก่ผู้อ่าน
องค์ประกอบของนิทาน
๑. แนวคิดหรือแกนของเรื่อง หรือสารัตถะของเรื่อง แนวคิดของเรื่องนิทาน มักเป็นองค์ประกอบพื้นฐาน ง่ายไม่ลึกซึ้งนัก เช่น แนวคิดเรื่องแม่เลี้ยงข่มแหงลูกเลี้ยง การทำความดีจะได้ผลดีตอบสนอง
๒. โครงเรื่องของนิทาน มักสั้น กะทัดรัด เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน เป็นลักษณะเรื่องเล่าธรรมดา โดยดำเนินเรื่องไปตามลำดับเหตุการณ์ก่อนหลัง
๓. ตัวละคร ไม่ควรมีหลายตัว เพราะเป็นเรื่องสั้น ๆ จะน่าอ่านกว่า เรื่องยาวๆ ตัวละครอาจเป็นคน สัตว์ เทพเจ้า นางฟ้า มนุษย์ อมนุษย์ ฯลฯ
๔. ฉาก เป็นภาพจินตนาการที่ผู้เขียนสร้างขึ้น ให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง
๕. ถ้อยคำหรือบทสนทนาที่ตัวละครในเรื่องพูดกัน ควรใช้ภาษาที่กะทัดรัด เข้าใจง่ายสนุกสนานชวนติดตาม
๖. คติชีวิต นิทานที่ดีต้องมีข้อคิดเกี่ยวกับชีวิต สังคม และวัฒนธรรม เพื่อเป็นการปลูกฝังคุณธรรมแก่ผู้อ่าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้เยาว์ ดังนั้น ในตอนท้ายของนิทานมักสรุปคติชีวิตให้เป็นเครื่องเตือนใจผู้อ่านด้วย
การเขียนบันเทิง
นวนิยายเป็นเรื่องสมมติที่เขียนอย่างสมจริง มีโครงเรื่องซับซ้อน เสนอแนวคิดได้กว้างขวางกว่าเรื่องสั้น มีตัวละครหลายตัว ดำเนินเรื่องได้ยาว ให้รายละเอียดของฉากและตัวละครได้มากกว่าเรื่องสั้น ซึ่งชนิดของนวนิยายอาจจำแนกได้ดังนี้
๑. นวนิยายสำรวจโลก
๒. นวนิยายเชิงประวัติศาสตร์ (อิงประวัติศาสตร์)
๓. นวนิยายลูกทุ่ง
๔. นวนิยายใช้ฉากในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่
๕. นวนิยายมหัศจรรย์
๖. นวนิยายชีวประวัติหรืออัตชีวประวัติ
๗. นวนิยายแนวจิตวิทยา
๘. นวนิยายมนุษยธรรม
๙. นวนิยายนักสืบและอาชญากรรม
๑๐. นวนิยายโรแมนติก
๑๑. นวนิยายระหว่างชาติ
๑๒. นวนิยายชีวิตครอบครัว
องค์ประกอบของนวนิยาย
๑. แนวคิดของแกนของเรื่อง
๒. โครงเรื่องมีลักษณะซับซ้อน
๓. ตัวละคร
๔. ฉาก
๕. ถ้อยคำหรือบทสนทนา
การเขียนบันเทิง
เรื่องสั้นเป็นวรรณกรรมประเภทหนึ่ง ที่พัฒนาขึ้นจากอิทธิพลของงานเขียนทางประเทศตะวันตก โดยเขียนขึ้นจากจินตนาการซึ่งมีความสมจริง (Realistic) มีขนาดสั้น ใช้ตัวละครน้อย ดำเนินเรื่องรวดเร็วและมีจุดมุ่งหมายเดียว เรื่องสั้นเรื่องแรกของไทย คือ เรื่อง "นายจิตรกับนายใจสนทนากัน" ของเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) ลงพิมพ์ในหนังสือดรุโณวาทราวปี พ.ศ.๒๔๑๗ ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ ผู้นี้นับว่าเป็น ผู้มีบทบาท เป็นอย่างมาก ในการสร้างสรรค์เรื่องบันเทิงคดีสมัยใหม่ และเรื่องสั้นยุคบุกเบิกซึ่งเปลื้อง ณ นคร ได้แบ่งเรื่องสั้นออกเป็น ๔ ชนิด
๑. เรื่องสั้นชนิดผูกเรื่อง (Plot story)
๒. เรื่องสั้นชนิดเพ่งเล็งที่จะแสดงลักษณะของตัวละคร (Charater Story)
๓. เรื่องสั้นชนิดที่ถือฉากเป็นส่วนสำคัญ (Atmosphere Story)
๔. เรื่องสั้นชนิดที่แสดงแนวความคิดเห็น (Theme Story)
องค์ประกอบของเรื่องสั้น
๑. แนวคิดหรือแกนของเรื่อง
๒. โครงเรื่องต้องมีลักษณะกะทัดรัด
๓. ตัวละคร
๔. ฉากต้องมีความสมจริง
๕. ถ้อยคำหรือบทสนทนา
การเขียนเรื่องสั้นนั้น ผู้เขียนจะเลือกเขียนในแนวใดก็ขึ้นอยู่กับความถนัด ประสบการณ์ อุปนิสัย และอารมณ์จินตนาการ เพราะแต่ละคน ย่อมมีความ แตกต่างกัน จงสำรวจตัวเองด้วยการอ่านงานเขียนห้กว้างขวาง หลายแบบ หลายแนว หลายผู้เขียน แล้วจะพบว่าเราชอบแนวใด จากนั้นก็ลองเขียนเลียนต้นแบบ ในเบื้องต้น เมื่อเห็นว่าสามารถทำได้อย่างนั้น ก็ค่อยพัฒนางานและสร้างเอกลักษณ์ของตนเองขึ้นมาใหม่
ผู้ที่หัดเขียนเรื่องใหม่ ๆ ต้องอ่านหนังสือให้มาก เพราะการอ่านกับการเขียนเป็นทักษะที่สัมพันธ์กัน และตระหนักว่า ไม่มีนักเขียนคนใด จะสร้างงานเขียน ของตนเองได้ โดยไม่อ่านหนังสือ
การเขียนบทละคร
บทละครเป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อใช้ในการแสดงละคร มีองค์ประกอบเช่นเดียวกับการเขียนเรื่องสั้นหรือนวนิยาย แต่ต่างกันที่วัตถุประสงค์ คือ บทละครนั้นแต่งขึ้นเพื่อการแสดง แต่เรื่องสั้นและนวนิยายแต่งขึ้นเพื่อการอ่าน เรื่องสั้นหรือนวนิยายบางเรื่อง อาจดัดแปลงมาเป็นบทละครได้
บทละครไทยแต่เดิม แต่งเป็นร้อยแก้ว เรียกว่า "กลอนบทละคร" ซึ่งเล่นเป็นละครรำ อันได้แก่ ละครชาตรี ละครนอน ละครใน แต่ต่อมาได้ปรับรูปแบบละคร พูดจากวัฒนธรรมตะวันตก จึงได้มีการแปลและดัดแปลงบทละครพูดจากภาษาอังกฤษ มาเป็นบทละครภาษาไทย ในสมัยพระบาทสมเด็จ พระบรมโอรสาธิราชสยาม มกุฎราชกุมาร (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) โปรดการละครพูดมาก ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครพูดไว้หลายสิบเรื่อง ทั้งยังเป็นองค์แสดง และตั้งคณะละครศรีอยุธยารมย์ขึ้น
ในสมัยพระบาทสมเด็จเกล้าเจ้าอยู่หัว การละครพูดรุ่งเรืองมาก ด้วยพระปรีชาสามารถในการละครพูด พระองค์จึงได้รับการถวายสมญาว่า "บิดาแห่งละครพูด"
บทละครนั้นมีมากมายหลายชนิด เช่น บทละครรำ อันได้แก่ บทละครชาตรี บทละครนอก บทละครใน บทละครพันทาง บทละครดึกดำบรรพ์ นอกจากนี้ยังมีบทละครร้อง บทละครพูด บทละครโทรทัศน์ และบทภาพยนตร์ เป็นต้น
อ้างอิง : http://www.unknown-story366.net/forums/lofiversion/index.php/t596.html
ชอบมากค่ะ
ตอบลบดีมากเลยค่ะ
ตอบลบ